วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ประเพณีการบวชของประเทศกัมพูชา


ประเพณีการบวชของประเทศกัมพูชา


    กิจกรรมการการบวชนาคถูกจัดขึ้นเป็นแบบชาวบ้านในวิถีแบบท้องถิ่นจริงๆ  นาคที่บวชจะนั่งบนแคร่ที่ทำจากไม้ไผ่ใช้คนหามหลายๆคนมีกลดบังแดดประกอบกับชาวบ้านร่วมขบวนแห่มากมายทั้งลูกเด็กเล็กแดงหนุ่มสาวเรื่อยไปจนถึงคนแก่  คละคลุ้งไปด้วยฝุ่นตลบอบอวนทั่วทั้งขบวนแห่รอบโบสถ์ซึ่งอยู่ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม   ระหว่างที่คนหามนาคที่นั่งบนแคร่จะมีการยกและโยกตลอดจนเสียงโห่ร้องวงมโหรีบรรเลงอย่างสนุกสนาน  นาคที่นั่งบนแคร่ต้องนิ่งระวังไม่ให้ตกจากแคร่เด็ดขาดโดยจะแห่รอบโบสถ์สามรอบและมีการโปรยเงินจากขันที่นาคถือจะรอบโบสถ์สามรอบ  ภายในภาพนอกจากขบวนแห่นาคแล้วยังเห็นภาพโบสถ์หลังเก่าที่สร้างแบบผสมผสานระหว่างรูปแบบตะวันตก และช่างชาวบ้านว่ากันว่า เป็นช่าง  ชาวขอม  ชาวแกว  ชาวญวน ซึ่งรูปแบบโบสถ์ที่เห็นในภาพเป็นที่แปลกตามากทางสถาปัตยกรรมไม่ว่าจะเป็นประตูรูป หน้าต่างทึบและ โปร่งรูปวงโค้ง  มีเสาสี่เหลี่ยมภายในค้ำหลังคาถึง 6 ต้น 

             ภายในประดิษฐานประพุทธรูปปูนปั้นแบบช่างท้องถิ่นที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้    โบสถ์หลังนี้สร้างอยู่บนฐานสูงมีบันไดทางขึ้นทางทิศตะวันออกส่วนทางขึ้นทางทิศตะวันตกประตูถูกปิดทึบในสมัยโบราณชาวบ้านเล่าให้ฟังว่ามีประตูทางเข้าสี่ด้าน   และที่รอบๆตัวโบสถ์ที่มุมฐาน และกึ่งกลางทั้งสี่ด้านบนฐานมีเจดีย์รูปทรงประหลาดที่ไม่เคยพบเห็นที่ไหน  ชาวบ้านที่นี่เรี่ยกว่า  ปะเตียยไม่แน่ใจว่าจะใช่สิ่งเดียวกันกับ
            คำว่า
  บันเตียย  ที่แปลว่าป้อมหรือกำแพง  ดังในรูปภาพซึ่งประดับทั้งหมด   12  ต้น  เมื่อระยะเวลาตอนนั้นเท่าที่เหลือประมาณสัก  8  ต้น  เพราะหักพักเสียหายไป ระหว่างปะเตียยเหล่านี้มีระเบียงเชื่อมต่อกันจนรอบภายในมีการปั้นรูปสัตว์  12  นักษัตร  โดยรอบ  แต่เมื่อกว่า  20  ที่แล้วไม่ปรากฏสิ่งดังที่กล่าวมาเพราะโบสถ์แห่งนี้เข้าใจว่าน่าจะผ่านมการซ่อมแซมมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนครั้งล่าสุดประมาณ  180  ปีที่แล้วเนื่องจากมีไฟไหม้หลังคาที่เป็นหญ้าแฝก และอีกภาพหนึ่งจะเห็นว่ามีศาลาเล็กอยู่หลังหนึ่งที่ไว้ใช้สำหรับวางพระทรงน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์( จ๊ะตึกเปรี๊ยะแคเจต )ศาลานี้ชาวบ้านเรี่ยกว่า  ศาลาซร็องเปรี๊ยะ ละมีสระน้ำโบราณอยู่ด้านหน้าศาลา  ศาลาและสระน้ำโบราณดังกล่าวตังอยู่ด้านหน้าโบสถ์

             จากสภาพแวดล้อมต่างๆและบุคคลในภาพต่างก็มีความเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยที่ไม่อาจจะมีใครมาต้านไว้ได้  ไม่ว่าตัวโบสถ์ปัจจุบันถูกรื้อทิ้งไปแทนที่ด้วยโบสถ์สมัยใหม่ทิ้งแค่ซากอิฐเก่าๆที่มีค่าของคนโบราณให้ลุกหลานดูเป็นอนุสรณ์     ศาลาทรงน้ำพระถูกรื้อทิ้งไปอย่างไม่เหลื่อร่องรอย     สระน้ำโบราณถูกขุดและถมและขุดจนผิดไปจากของเดิม    พระพุทธรูปปูนปั้นประธานและฐานในโบสถ์ถูกต่อเดิมผิดจากงามที่ควรจะเป็นแบบท้องถิ่น  รวมไปถึงการอัญเชิญพระพุทธรูปแบบสมัยใหม่ที่เลียนแบบพระพุทธรูปรุ่นเก่ามาประดิษฐานบนฐานที่สูงกว่าพระของเดิมที่มีอยู่แล้วบริเวณด้านหลังพระองค์เก่าซึ่งผู้ใจบุญจากเมืองหลวงเข้ามามีบทบาทในการจัดวางและควบคุม   แก้วตาพระพุทธรูปของเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาพร้อมกับพระพุทธรูปถูกคนใจมารขโมยไป  และเเทนที่ด้วยแก้วตาที่ผู้ใจบุญจัดสร้างให้ใหม่ซึ่งดูแล้วแปลกๆไม่เข้ากับลูกตาองค์พระของเก่า    ทุกอย่างที่มาแทนที่ไม่ได้คำนึงถึงองค์ความรู้ของเดิมในการที่ปรับให้เข้ากับสังคมดังเดิมอันเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นของตน    แม้แต่ประเพณีการบวชและการแห่นาคอย่างเช่นในภาพนี้ปัจจุบันไม่มีแล้ว    ทุกสิ่งทุกอย่างในทางวัฒนธรรมท้องถิ่นกำลังจะกลายไปเป็นความสาบสูญแห่งความทรงจำเป็นอนิจจัง

เปรียบเทียบประเพณีการบวชของประเทศไทยกับกัมพูชา

            ต่างกับประเทศไทยคือประเพณีของประเทศกัมพูชาคือต้องนั่งแคร่ที่ทำจากไม้ไผ่ซึ่งตลอดการแห่นาคก็มีการโยกและร้องรำทำเพลงไปตลอดทางนาคที่นั่งบนแคร่จะต้องระวังไม่ให้ตกจากแคร่โดยเด็ดขาดมีการแก่รอบโบสถ์สามรอบและมีการโปรยเงินจากขันที่นาคถือโดยโปรยให้ครบทั้งสามรอบที่มีการแห่นาค
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น